เกี่ยวกับเรา

คุณชนัดดา ไชยสาครได้ถือกำเนิดและรับการชุบเลี้ยงในครอบครัวที่อุทิศตนตามแนวทางของพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เธอเติบโตในหมู่บ้านที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง ชื่อ เจริญศิลป์ และรับการศึกษาที่อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เธอเป็นบุตรคนกลางในท่ามกลางพี่น้องสามคน ถึงกระนั้น น้องชายของเธอได้เสียชีวิตลงในช่วงเยาว์วัย เธอเป็นที่รู้จักของคนหมู่มากว่าเป็นเด็กที่เคร่งศาสนา เพราะว่าเธอได้เข้าส่วนในการทำบุญตักบาตรและปฏิบัติตนตามพิธีกรรมของพุทธศาสนาตามบิดา-มารดาของเธอตลอดเวลา คุณชนัดดาเชื่อว่าเธอเป็นคนบาปโดยผ่านทางคำสอนของพุทธศาสนา ดังนั้นเธอจึงพยายามในทุกวิถีทางที่จะหลุดพ้นจากความบาปโดยการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าคุณชนัดดาจะพยายามเคร่งครัดในหลักคำสอนมากเท่าใดก็ตาม จิตใจของเธอก็ไม่เคยพบกับสันติสุขเลย และในส่วนลึกของจิตใจเธอก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เธอเพียรพยายามแสวงหาสันติสุขแท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาพบได้ที่ไหน เธอได้เสาะแสวงหาต่อไปอย่างไม่ลดละโดยผ่านทางการทำคุณงามความดี และการปฏิบัติตนตามพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด

เมื่ออายุได้ 16 ปี คุณชนัดดาได้ตัดสินใจขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่โรงเรียนเกี่ยวกับแผนการในการสละทรัพย์สิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะก้าวไปสู่การเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิตของเธอ นี่คือจุดเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตของเธอเพราะว่าอาจารย์ที่ปรึกษานั้นเป็นคริสเตียน และอาจารย์ท่านนั้นก็ได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับคุณชนัดดา ภายหลังจากการได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับความรักและการอภัยโทษของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรก คุณชนัดดาได้เปิดใจออกต้อนรับเอาพระคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอด้วยความจริงใจ นับจากเวลานั้นเป็นต้นมา เธอเริ่มพบกับสันติสุขและความปิติยินดีภายในดวงใจดั่งที่เคยปรารถนา ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าเบื้องบนเท่านั้น เธอได้ขจัดรูปเคารพทั้งหมดที่เคยกราบไหว้ทิ้งเสีย แล้วเธอก็เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์และไปนมัสการที่โบสถ์

ผลที่เกิดจากการตัดสินใจติดตามพระคริสต์ในปี 1975 บิดา-มารดาของคุณชนัดดา บรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนๆ และประชาชนจากเขตที่เธอเคยอาศัยอยู่ได้ขับไล่ไสส่งเธอออกจากถิ่นฐานนั้นอย่างเป็นทางการ พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกโกรธแค้นและมองเธอด้วยความดูถูกดูหมิ่น ในขณะที่เธอก้าวออกไปด้วยความเชื่อและด้วยความเต็มใจที่จะเผชิญกับอนาคตที่ไม่มีใครรู้นั้น พระเจ้าได้ทรงสำแดงความสัตย์ซื่อต่อเธอเมื่อครอบครัวคริสเตียนในกรุงเทพฯได้ให้การเลี้ยงดูเธอในบ้านของพวกเขา จากนั้นไม่นาน พระเจ้าได้ทรงนำเธอไปศึกษาในศูนย์ฝึกอบรมศาสนทูตในกรุงเทพฯเป็นเวลาสองปี ในช่วงเวลาที่กำลังศึกษาอยู่นั้น เธอรู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้าให้เธอดำเนินชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ในการประกาศข่าวประเสริฐและในการสร้างสาวก เธอได้ตอบสนองการทรงเรียกนั้นด้วยการแสวงหาโอกาสเพื่อรับการฝึกฝนเพิ่มเติมโดยผ่านทางโอเปอเรชั่น โมบิไลเซชั่น (Operation Mobilization) ซึ่งเธอได้ทำการปรนนิบัติรับใช้ในเรือคริสเตียนที่มีชื่อว่า ดูโลส เป็นเวลาสองปีเต็ม

ในปี1979 คุณชนัดดาได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยและได้เข้าร่วมกับองค์กร แคมพัสครูเสดฟอร์ไคร้ท์ (Campus Crusade for Christ) ซึ่งเธอได้สำเร็จจากการฝึกอบรมในประเทศฟิลิปปินส์ หน้าที่ความรับผิดชองของเธอคือการทำงานกับนิสิตในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ในกรุงเทพฯ เป้าหมายใหญ่ในงานของเธอคือการประกาศพระกิตติคุณและการนำกลุ่มสร้างสาวก เธอรู้สึกชื่นชอบในการทำงานกับนิสิตผ่านทางหน่วยงานซีซีซีในเวลานั้นมากทีเดียว และไม่เคยปรารถนาที่จะลาออกจากงานนั้นเลย ถึงอย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ทรงควบคุมทุกๆสถานการณ์ได้ทรงมีสิ่งที่ทำให้แปลกใจมากมายเอาไว้แล้วสำหรับเธอ

นับจากปี 1984 จนถึงปี 1989 คุณชนัดดาได้เผชิญกับความเจ็บป่วยจากโรคภัยหลายชนิด ซึ่งมีผลจนเกือบสิ้นชีวิต เธอประสบกับความทุกข์ทรมานกับโรคลมพิษ โรคเก๊าท์ โรคปวดหลังช่วงล่าง โรคข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ และโรคปวดท้องที่เป็นปัญหาอันลึกลับ เธอต้องรับการผ่าตัดถึงสองครั้ง และต้องนอนป่วยอยู่เป็นเวลานานถึงสี่ปี จากนั้นต้องใช้เวลาอีกสองปีเพื่อทำการพักฟื้น ก่อนที่เธอจะกลับมาเดินได้ตามปกติอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน เมื่อเธอต้องเผชิญกับ “หุบเขาเงามัจจุราช” เธอได้เรียนรู้ถึงการยึดเกาะกับพระผู้ช่วยให้รอดแห่งจิตวิญญาณของเธอในทุกเสี้ยววินาที เธอไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น และเธอก็ไม่ได้ตอบสนองต่อความทุกข์ทรมานเหล่านั้นด้วยท่าทีที่ถูกต้องเสมอไป ถึงกระนั้น พระเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อได้ทรงสอนเธอด้วยบทเรียนอันล้ำค่าอย่างมากมาย ซึ่งเธอจะสามารถเรียนรู้ได้เฉพาะในหุบเขาอันมืดมิดเท่านั้น ในเวลาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงรื้อฟื้นสุขภาพของเธอ และทรงนำให้เธอสามารถกลับมาเดินได้ด้วยเท้าอีก เพื่อเธอจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ในการกระทำให้การทรงเรียกที่มีต่อชีวิตของเธอสำเร็จ

ในปี 1990 พระเจ้าได้ทรงนำเธอไปสหรัฐอเมริกาเพื่อรับการฝึกอบรมในด้านพันธกิจสตรี อีกครั้งหนึ่งที่แผนการแห่งการทรงควบคุมของ พระเจ้าได้ทรงนำเธอไปที่ คริสตจักร เกรซ คอมมิวนิตี้ (Grace Community Church)ในมนรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีด็อกเตอร์ จอห์น แมคอาร์เตอร์ เป็นศิษยาภิบาล ณ ที่แห่งนั้น เธอได้ค้นพบกับพันธกิจสตรีซึ่งสามารถตอบสนองความจำเป็นฝ่ายจิตวิญญาณของสตรีคริสเตียนได้อย่างดีเยี่ยม ภายหลังจากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์และได้รับพระพรอย่างมากมายโดยการสอนของคุณอลีซาเบธ จอร์จ เป็นเวลาสองสามปี นิมิตที่จะเสริมสร้างสาวกที่เป็นสตรีไทยได้เกิดขึ้นในดวงใจของเธอ ในช่วงเวลาของการเตรียมตัว เธอได้ทำการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าและเรียนรู้หลักคำสอนที่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ภายใต้การนำของ ด็อกเตอร์ จอห์น แมคอาร์เตอร์ และสตรีที่รักพระเจ้าท่านอื่นๆในคริสตจักรเกรซคอมมิวนิตี้ ต่อมาคุณชนัดดาได้ศึกษาเพิ่มเติมในสถาบัน โลกอส ไบเบิล อินสทิทิวท์ (Logos Bible Institute) และรับการฝึกอบรมในบางวิชาที่สถาบันศาสนศาสตร์นานาชาติ (International School of Theology) ในแอโรเฮด สปริง, แคลิฟอร์เนีย

ในวันที่ 1 มกราคม 1997 คุณชนัดดาได้เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ (ประเทศไทย) เธอมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยคือทุ่งนาที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเธอ นับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา เธอได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำการศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านของเธออย่างสัตย์ซื่อ และที่นั่นก็คือสำนักงานของเธอด้วย ซึ่งอยู่ในบริเวณเขตดอนเมือง ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ทรงนำสตรีจำนวนไม่น้อยจากหลากหลายคริสตจักรให้เข้ามารับการเสริมสร้างชีวิตการเป็นสาวกภายใต้การนำของเธอ สตรีเหล่านั้นได้เรียนรู้ที่จะเติบโตในพระวจนะของพระเจ้าและกลายเป็นพระพรต่อครอบครัวของตนเอง ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นพระพรต่อบุคคลอื่นๆด้วย คุณชนัดดาได้เห็นชีวิตของสตรีจำนวนมากที่รับการเปลี่ยนแปลงผ่านทางการสอนพระวจนะของพระเจ้าและการเลี้ยงดูอย่างสัตย์ซื่อ เธอเป็นสมาชิกของคริสตจักร อีแวนเจลลิคอล กรุงเทพฯ (Evangelical Church of Bangkok) ที่ตั้งอยู่สุขุมวิท ซอย 10 และเธอได้ทำการสอนพระคัมภีร์แก่ชั้นเรียนสตรีในวันอาทิตย์เป็นช่วงๆ คุณชนัดดาได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรรับเชิญในการจัดอบรม สัมมนา และรีทรีทในที่ต่างๆของเมืองไทย และในต่างประเทศด้วย โดยมุ่งเน้นไปที่สตรีคริสเตียนไทย นี่คือพันธกิจแห่งความเชื่อและเธอก็ทำงานในด้านนี้ด้วยความรักและการอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างเต็มเวลา เธอมองไปที่พระองค์ให้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นในชีวิตให้ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตวิญญาณ และทางด้านทรัพย์สินเงินทองด้วย

“เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็เปล่าประโยชน์ แต่สตรียำเกรง
พระเจ้า สมควรได้รับคำสรรเสริญ”

สุภาษิต 31:30